Pages

Jun 16, 2014

โลกในกรอบ


ในหนังสือหนึ่งเล่ม มีแง่มุมชวนขบ
มีประโยคชวนคิด มีข้อมูลกระทุ้งใจ

ถ้าจะเอาเรื่องจากในหนังสือมาเล่าซ้ำ
ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้อ่านที่ดี เอาเป็นว่า
แค่อยากจดบางจังหวะของเรื่องที่ชอบ
เอาไว้เป็นแหล่งอ้างอิงส่วนตัว

มาเริ่มกันที่เล่มนี้ละกัน

โอเวอร์ตัน แผนลวงโลก The Overton Window
เกลนน์ เบ็ก /เขียน  - ปัทมา อินทรรักขา /แปล           แพรวสำนักพิมพ์

มีแนวคิดเกี่ยวกับแก่นของทฤษฎีสมคบคิด ที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้
หาวิธีที่จะเล่าต่อให้เห็นภาพ ก็เลยคัดเลือกบางช่วงบางตอน มาให้อ่านกันดู

สาธารณชนน่ะสูญเสียความกล้าที่จะเชื่อไปแล้วละ พวกเขาสละความสามารถในการคิดของตนไป
พวกเขาไมสามารถเรียบเรียงความคิดเห็นได้อีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเขา "ดูดซับ" ความคิดเห็น
ของตนเองเข้าไปขณะนั่งอ้าปากค้างอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ความคิดของพวกเขาถูกเสกสรรปั้นแต่ง
โดยผู้คนแบบผมไง พวกสาธารณชนทำไมหรือ เมื่อยี่สิบปีก่อนในห้องนี้ ผมแสดงให้นักธุรกิจ
ที่มองการแคบกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเห็นว่าทำยังไงถึงจะขายสสารที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เป็นที่สุด
บนโลกใบนี้แก่สาธารณชนในราคาที่สูงกว่าน้ำมันรถเกรดพรีเมียมถึงสิบเท่า ก็น้ำที่ไหลจากก๊อกในครัว
ของพวกเขาเองในราคาเศษหนึ่งส่วนสิบของเพนนีเดียวต่อแกลลอนนั่นยังไงละ นั่นคงเป็นเรื่องที่ดูเหมือน
จะไม่น่าเชื่อเลย มันท้าทายตรรกะและเหตุผลทั้งมวล ปู่ย่าตายายของคุณคงเรียกมันว่าโจรกรรม
การหลอกลวงหรือลักโขมยอย่างไร้เหตุผล...และก็สมควรอยู่หรอกถ้าจะให้ผมเสริมนะ
แต่ประสบการณ์ 
ครั้งนั้นได้พิสูจน์ให้ผมเห็นสิ่งหนึ่ง 

นั่นคือการจะขายอะไรก็ได้แก่สาธารณะชน ไล่ตั้งแต่น้ำประปาขวดละสามดอลลาร์
ไปจนถึงสงครามเต็มรูปแบบนั่นน่ะนะนับเป็นดาบสองคม


...จอภาพวูบหายไปในทันที เหลือเพียงคำสามคำเป็นตัวหนังสือขนาดใหญ่สีดำบนพื้นขาว

ความหวัง และ ความหวาดกลัว

พวกคุณเข้าใจหรือยัง หากผู้คนถูกโกงไปเฉยๆ ก็มีความเป็นไปได้เสมอว่าสักวันหนึ่ง
พวกเขาอาจตื่นขึ้นมาและแข็งข้อต่ออาชญากรรมนั้น 

แต่เราไม่ได้เปลี่ยนความคิดของพวกเขา เราเปลี่ยนความจริงต่างหาก

คนส่วนใหญ่ไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วย พวกเขาจะเออออไปกับทุกเรื่อง ตราบเท่าที่เรา
ทำให้พวกเขาเกิดภาพลวงตาเรื่องอิสรภาพแบบอเมริกันไปเรื่อยๆ

เราต่อเติมความหวังและหล่อเลี้ยงความหวาดกลัวของพวกเขา
และทันทีที่พวกเขาเชื่อ พวกเขาก็อยู่ในกำมือเราตลอดกาล


......................................................................................................................................

อ่านเจอแนวคิดที่ในหนังสือเรียกว่า "กรอบโอเวอร์ตัน" แล้วน่าเก็บมาคิดต่อ

มันมีชื่อเรียกว่า "กรอบโอเวอร์ตัน" ...
เป็นวิธีการอธิบายสิ่งที่สาธารณชนพร้อมที่จะยอมรับในประเด็นใดก็ตามในขณะนี้
เพื่อที่เราจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะโยกย้ายมันไปสู่สิ่งที่เราต้องการด้วยวิธีไหนจึงจะดีที่สุด


"กรอบโอเวอร์ตัน" ทำงานยังไง

ส่วนปลายสุดของเส้นตรงยาวนี้ หมายถึงความเป็นไปได้แบบสุดโต่ง 
ตรงปลายสุดของแถบวัดข้างนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
...เช่นถ้าเรากำลังพูดถึงรัฐบาลอยู่ ก็หมายถึงว่ามีเสรีภาพมากเกินไปที่สุดปลายข้างนี้
ซึ่งก็คืออนาธิปไตย และเป็นเผด็จการแบบออร์เวลเลียน จากบนลงล่างอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์
ที่สุดปลายอีกข้าง ดังนั้นจึงไม่มีเสรีภาพเลย 

"ลองดูการรักษาความปลอดภัยของสายการบินเป็นตัวอย่างละกัน"

สี่สิบปีก่อน ผู้คนสามารถเลี้ยวรถเข้ามาจอดในสนามบิน
แค่ไม่กี่นาทีก่อนที่เที่ยวบินของพวกเขาจะออกเดินทาง และได้รับการต้อนรับด้วยความสุภาพและเคารพ

ไม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเลย แค่ตั๋วใบเดียว จากนั้นก็ขึ้นเครื่องบินโดยแทบจะพกข้าวของอะไรก็ได้
ไว้ในกระเป๋าเดินทางของพวกเขา มีการรักษาความปลอดภัยอยู่บ้างหรอก แต่ก็แทบมองไม่เห็น
ทุกวันนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ใช่มั้ย ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีวันย้อนกลับไปหายุคนั้นได้อีก

ทีนี้ตรงสุดปลายอีกข้างของแถบวัด ลองทำให้ผู้โดยสารมาถึงก่อนสี่ชั่วโมงเพื่อเข้าแถวผ่านขั้นตอน
การรักษาความปลอดภัย ไม่อนุญาตให้มีกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง  บังคับใช้การตรวจค้นแบบถอดเสื้อผ้าออกหมดตามข้อบังคับ เอกซเรย์แบบเต็มตัว มีการตรวจค้นซอกหลีบในร่างกายสำหรับทุกคน

ถ้าจู่ๆ คุณต้องผ่านขั้นตอนทุกอย่างที่ผมพูดไป คุณก็จะเลิกบินไปเลยถูกมั้ย 
และถ้าไม่มีการรักษาความปลอดภัยอะไรซักอย่าง คุณก็ไม่มีวันย่างเท้าขึ้นไปบนเครื่องเหมือนกัน
ดังนั้น "กรอบโอเวอร์ตัน" ของคุณจึงอยู่ตรงไหนสักแห่งระหว่างกลางภายในกรอบสี่เหลี่ยมนี้ 
แต่เป้าหมายของผมคือ ทำให้คุณยอมรับเรื่องสุดโต่งทางโน้นมากขึ้นทีละขั้น

สมมุติว่าพรุ่งนี้เจ้างั่งคนหนึ่งหาทางขึ้นไปบนเที่ยวบินสักเที่ยวพร้อมระเบิดทำเองชิ้นจิ๋วๆ ชนิดหนึ่ง 
นั่นจะกลายเป็นข่าวไปทั่วอยู่หลายสัปดาห์เลย ไม่ว่าหมอนั่นลงมือสร้างความเสียหายจริงๆ รึเปล่า
คุณจะเกิดกลัวขึ้นมา และโทรทัศน์ก็กำลังบอกคุณว่า เท่าที่เราต้องทำคือซื้อเครื่องมือตรวจกรองที่แพงขึ้น
จ้างคนพวกเดียวกับที่ปล่อยให้เจ้าบ้านั่นขึ้นเครื่องไปในทีแรกมากขึ้น 
และยอมละศักดิ์ศรีไปอีกนิดตรงจุดตรวจ พวกเราก็จะปลอดภัย

แน่ละว่านั่นคือเรื่องโกหก แต่ก็ให้ผลอย่างที่ต้องการ

"แล้วมันก็จะเคลื่อนย้ายกรอบโอเวอร์ตันนั่น" 
"ถูกแล้ว"

เราใส่เหตุการณ์สุดขั้วที่เป็นเท็จไว้ที่ปลายทั้งสองข้างเพื่อทำให้ทางเลือกตรงกลาง
ดูเป็นที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกันแล้ว และหลังจากนั้นเมื่อกระตุ้นสักหน่อย คุณก็สามารถโดนชักนำ
ให้เห็นพ้องกับเรื่องบางอย่างที่คุณคงไม่มีทางจะยอมรับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

"แล้วกรอบโอเวอร์ตันนี่นะ มีการใช้อยู่ตลอดเวลาเลยหรือ"

"ตลอดเวลา" ทุกที่ที่คุณมองเห็น เราไม่เคยปล่อยให้วิกฤตการณ์ดีๆ 
ต้องสูญเปล่าหรอก และต่อให้ไม่มีเหตุวิกฤติอยู่ แต่ก็ไม่ยากนักที่จะสร้างขึ้นมาสักเรื่อง

ถ้าปราศจากเหตุการณ์เขย่าโลกครั้งใหญ่แบบเพิร์ลฮาร์เบอร์ หรือ 11 กันยาน่ะ
นี่คือหนทางเดียวที่จะใช้ได้ผล แค่กระทุ้งนิดๆ หน่อยๆ ไปในทิศทางที่ถูกต้องและยังไม่ทันรู้ตัว

สิ่งที่พวกเขากำลังแสวงหาคือ 
วิวัฒนาการ ไม่ใช่ การปฏิวัติเปลี่ยนโฉม












อ่านจบแล้วก็คุยกับตัวเองว่า ถ้า Overton Window มีอยู่จริง
คำว่า "โลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน" นี่เบาไปเลย เพราะ
โลกมันอยู่ยากมานานละ และมันเป็นความยาก
ที่มีคนจงใจทำ

JKK
17 June 2014
BKK





No comments: